ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2559 บัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตที่ทุกธนาคารออกให้เราจะเป็นบัตรแบบชิปการ์ดทั้งหมด ซึ่งบัตรชิปการ์ดคือบัตรรูปแบบใหม่ที่มีความปลอดภัยมากกว่าบัตรแบบแถบแม่เหล็ก เนื่องจากข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในชิปที่ป้องกันการถูกคัดลอกข้อมูลหรือสกิมมิ่ง และการโจรกรรมข้อมูลจากบัตร ทำให้การคัดลอกข้อมูลทำได้ยากกว่าบัตรแบบแถบแม่เหล็ก นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มรหัสพิน (PIN) จาก 4 หลัก เป็น 6 หลัก เรียกว่ามีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดตามมาตรฐานสากลเลยค่ะ ส่วนการใช้งานนั้น ยังคงใช้งานได้สะดวกเหมือนเดิม ทั้งการถอน โอน จ่าย ซื้อสินค้าผ่านเครื่องรับบัตร หรือชอปออนไลน์ ทำให้เรามีความมั่นใจในการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตมากยิ่งขึ้น
เมื่อทำความรู้จักกับบัตรชิปการ์ดกันไปแล้ว หลายคนอาจมีคำถาม ข้อสงสัย หรือความกังวลใจเกิดขึ้นมากมาย ขออธิบายให้เคลียร์ดังนี้ค่ะ
บัตรแบบแถบแม่เหล็กยังคงใช้ได้ไหม
สำหรับใครที่ยังใช้บัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิตแบบแถบแม่เหล็กอยู่ และบัตรของเรายังไม่หมดอายุนั้นก็ไม่ต้องตกใจไปค่ะ เพราะเรายังสามารถใช้บัตรแบบแถบแม่เหล็กต่อไปได้ตามปกติ โดยสามารถใช้ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 เท่านั้น แต่หากใครต้องการเปลี่ยนบัตรเป็นแบบชิปการ์ดในขณะที่บัตรเดิมยังไม่หมดอายุก็สามารถทำได้เลยทันที โดยไปติดต่อธนาคารผู้ออกบัตรที่เราใช้บริการอยู่ อย่าลืมนำบัตรประชาชน สมุดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ และบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิตใบเก่าไปด้วยนะคะ
มีค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนบัตรไหม หลายคนกังวลเรื่องค่าธรรมเนียม ถ้าไปเปลี่ยนบัตรแบบชิปการ์ดแล้วจะเสียค่าธรรมเนียมไหม
ต้องบอกว่า ค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนบัตร และค่าธรรมเนียมในการใช้บัตรจะเป็นไปตามอัตราและเงื่อนไขที่ธนาคารแต่ละแห่งกำหนดไว้ค่ะ ซึ่งในช่วงแรกนี้ หลาย ๆ ธนาคารได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนบัตรให้เรา ลองเช็กกับธนาคารเจ้าของบัตรกันดูนะคะ
บัตรแบบชิปการ์ดสามารถใช้ได้กับตู้เอทีเอ็มทุกตู้ใช่ไหม
ในช่วงแรกอาจมีตู้เอทีเอ็มบางตู้ของบางธนาคารที่ยังไม่พร้อมรองรับการใช้บัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตแบบชิปการ์ดซึ่งตู้เอทีเอ็มจะแสดงข้อความให้เรารู้ว่า ตู้นี้ใช้บัตรชิปการ์ดได้หรือไม่ ซึ่งอาจทำให้เราไม่ได้รับความสะดวกไปบ้าง ดังนั้น ควรวางแผนการทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ ไว้ให้ดี และจดจำตู้เอทีเอ็มที่เราใช้งานอยู่บ่อย ๆ ซึ่งสามารถรองรับการใช้บัตรชิปการ์ดได้ค่ะ